วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
แร่ธาตุ ทรายแก้ว
ทรายแก้ว ( glass sand ) หรือทรายขาว พบได้ทั่วไปของพื้นที่จังหวัดระยอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ เกาะเสม็ด แหล่งท่องเที่ยว อันลือชื่อของจังหวัดระยอง กล่าวได้ว่าหาดทรายแก้วที่ขาวสะอาด เม็ดทราย ละเอียดยิบ มองเห็นเป็นสีขาวยาวไกลนั้น คือจุดดึงดูด นักท่องเที่ยวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าให้มาสัมผัสกับทราย เนียนนุ่ม แม้แต่
“สุนทรภู่” กวีของโลกยังได้เอ่ยถึงเกาะเสม็ดในจินตนิยาย “พระอภัยมณี” โดยท่านเรียกว่า “เกาะแก้วพิศดาร “ ซึ่ง “แก้ว” หมายถึง “ทรายแก้ว” นั่นเอง
ลักษณะทางธรณีวิทยา ทรายแก้ว (glass sand) คือทรายบริสุทธิ์ที่มีซิลิกา (SiO2) มากกว่า 95 % มีเหล็ก ( Fe2O3 ) และสารอื่น ๆ เจือปนเล็กน้อย แหล่งแร่ทรายแก้วได้จากการผุพังของหินทรายในยุคโบราณ แล้วถูกกระแสน้ำพัดพามาสะสม ตัวอยู่ในแหล่งที่เกิด ซึ่งพบมากบริเวณเกาะเสม็ดของจังหวัดระยองและ ในเนื้อที่ใกล้ทะเลโดยทั่วไปของจังหวัด ทรายแก้วมีความ ลึกเฉลี่ยประมาณ 2 เมตร ดินชั้นล่างเป็นดินสีดำปนทราย ลักษณะของทรายมีสีเทาอมชมภู เม็ดทรายมีขนาดเล็กเป็นเหลี่ยมและ เหลี่ยมมน
ส่วนประกอบทางเคมี ดังนี้
SiO2 99.41 %
Al2O3 0.21 %
Fe2O3 0.07 %
CaO 0.07 %
MgO 0.68 %
ประโยชน์ของทรายแก้ว ทรายแก้วใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ดังนี้
1. ใช้ทำแก้ว เช่นแว่นตา เครื่องแก้วใส ภาชนะบรรจุของ กระจกแผ่นเรียบ
2. ใช้ในงานหล่อโลหะ
3. ใช้ทำอิฐทนไฟ
4. ใช้ทำ Sodiam Silicate
5. ใช้เป็นตัวช่วยในการหลอม
6. ใช้ประโยชน์อื่น ๆ ตามเปอร์เซนต์ของส่วนประกอบทางเคมี
ทรายแก้ว นับเป็นแร่ธาตุที่ให้ผลทางเศรษฐกิจต่อชาวระยองเป็นอย่างยิ่ง ในฐานะเป็นแหล่งแร่ ซึ่งถ้าขาดการควบคุม อย่างรัดกุม แร่ทรายแก้วในระยองอาจเหลือเพียงชื่อก็เป็นได้
(ข้อมูลจากสำนักงานทรัพยากรธรณี จังหวัดระยอง)
“สุนทรภู่” กวีของโลกยังได้เอ่ยถึงเกาะเสม็ดในจินตนิยาย “พระอภัยมณี” โดยท่านเรียกว่า “เกาะแก้วพิศดาร “ ซึ่ง “แก้ว” หมายถึง “ทรายแก้ว” นั่นเอง
ลักษณะทางธรณีวิทยา ทรายแก้ว (glass sand) คือทรายบริสุทธิ์ที่มีซิลิกา (SiO2) มากกว่า 95 % มีเหล็ก ( Fe2O3 ) และสารอื่น ๆ เจือปนเล็กน้อย แหล่งแร่ทรายแก้วได้จากการผุพังของหินทรายในยุคโบราณ แล้วถูกกระแสน้ำพัดพามาสะสม ตัวอยู่ในแหล่งที่เกิด ซึ่งพบมากบริเวณเกาะเสม็ดของจังหวัดระยองและ ในเนื้อที่ใกล้ทะเลโดยทั่วไปของจังหวัด ทรายแก้วมีความ ลึกเฉลี่ยประมาณ 2 เมตร ดินชั้นล่างเป็นดินสีดำปนทราย ลักษณะของทรายมีสีเทาอมชมภู เม็ดทรายมีขนาดเล็กเป็นเหลี่ยมและ เหลี่ยมมน
ส่วนประกอบทางเคมี ดังนี้
SiO2 99.41 %
Al2O3 0.21 %
Fe2O3 0.07 %
CaO 0.07 %
MgO 0.68 %
ประโยชน์ของทรายแก้ว ทรายแก้วใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ดังนี้
1. ใช้ทำแก้ว เช่นแว่นตา เครื่องแก้วใส ภาชนะบรรจุของ กระจกแผ่นเรียบ
2. ใช้ในงานหล่อโลหะ
3. ใช้ทำอิฐทนไฟ
4. ใช้ทำ Sodiam Silicate
5. ใช้เป็นตัวช่วยในการหลอม
6. ใช้ประโยชน์อื่น ๆ ตามเปอร์เซนต์ของส่วนประกอบทางเคมี
ทรายแก้ว นับเป็นแร่ธาตุที่ให้ผลทางเศรษฐกิจต่อชาวระยองเป็นอย่างยิ่ง ในฐานะเป็นแหล่งแร่ ซึ่งถ้าขาดการควบคุม อย่างรัดกุม แร่ทรายแก้วในระยองอาจเหลือเพียงชื่อก็เป็นได้
(ข้อมูลจากสำนักงานทรัพยากรธรณี จังหวัดระยอง)
โรงงานไฟฟ้าเคมี
นายชวลิต พิชาลัย รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวในเวทีเสวนา พลังงานนิวเคลียร์ : ความคุ้มค่าการลงทุนอุตสาหกรรมพลังงานในอนาคต โดยสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ (สพน.) ว่า ความเสี่ยงของการใช้ เชื้อเพลิงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ากว่า ร้อยละ 78 เป็นก๊าซธรรมชาติ รวมถึงภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศต้องหาพลังงานทางเลือกใหม่ที่จะเข้ามาเสริมระบบ ในขณะเดียวกันต้องลดหรือไม่ปล่อยสารคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ ต้องการกระจายเชื้อเพลิงเพื่อลดความเสี่ยง ลดภาวะโลกร้อน และต้นทุนการผลิตไฟฟ้ามีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้น
แม้ว่าการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะแพงกว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินถึง 1 เท่า มูลค่าปัจจุบันอยู่ที่ 160,000 ล้านบาท แต่ระยะยาวตลอดอายุโครงการที่ 40 - 60 ปี ถือว่าต้นทุนของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังถือว่าต่ำที่สุด นอกจากนี้ยังสร้างความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงเพราะแร่ยูเรเนียมที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงใช้ได้ค่อนข้างนาน และที่สำคัญยังช่วยลดการผันผวนของราคาน้ำมัน และเรายังสามารถนำก๊าซธรรมชาติไปเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมอื่นๆ แทนที่จะไปเผาทิ้งในโรงไฟฟ้า
ในส่วนของการประมาณการต้นทุนค่าไฟฟ้านั้น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่กำลังผลิต 1,000 เมกะวัตต์ จะมีต้นทุนอยู่ที่ 2.45 บาท/หน่วย ในขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหิน เทียบที่กำลังผลิตติดตั้ง 700 เมกะวัตต์ จะมีต้นทุนอยู่ที่ 2.69 บาท/หน่วย หรือแม้แต่การเปรียบเทียบการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิง 1 กิโลกรัมนั้น ยูเรนียมเข้มข้น ร้อยละ 3 - 4 นั้นจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 300,000 หน่วย ในขณะที่ถ่านหินจะผลิตได้เพียง 3 หน่วยเท่านั้น
ที่มาของข้อมูล : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ประจำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553
สารกัมมันตรังสี เป็น คำที่มีการแพร่หลายจากเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ จากเหตุแผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์สึนามิโถมถล่มซ้ำประเทศญี่ปุ่น จนถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่น หลายคนคงได้ยิน คำว่า "สารกัมมันตภาพรังสี" คงสงสัยกันว่า มันคืออะไร?
กัมมันตภาพรังสี (Ionizing Radiation)
กัมมันตภาพรังสีมี 3 ชนิด คือ
1) รังสีแอลฟา (alpha, a) คือ นิวเคลียสของอะตอมธาตุฮีเลียม 4He2 มีประจุไฟฟ้า +2 มีมวลมาก ความเร็วต่ำ อำนาจทะลุทะลวงน้อย มีพลังงานสูงมากทำให้เกิดการแตกตัวเป็นอิออนได้ดีที่สุด
2) รังสีเบต้า (Beta, b) มี 2 ชนิด คือ อิเลคตรอน 0e-1 (ประจุลบ) และ โฟซิตรอน 0e+1 (ประจุบวก) มีความเร็วสูงมากใกล้เคียงกับความเร็วแสง
3) รังสีแกมมา (gamma, g) คือ รังสีที่ไม่มีประจุไฟฟ้า หมายถึง โฟตอนหรือควอนตัมของแสง มีอำนาจในการทะลุทะลวงได้สูงมาก ไม่เบี่ยงเบนในสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงกว่ารังสีเอกซ์
การวิเคราะห์ชนิดของประจุของสารกัมมันตภาพรังสีโดยใช้สนามแม่เหล็ก
เลขมวล เลขอะตอมและสัญลักษณ์ของ Nucleus
นิวคลีออน คือ อนุภาคที่รวมตัวกันอยู่ภายใต้ นิวเคลียส ซึ่งหมายถึง โปรตอน (proton, 1H1) และนิวตรอน (Neutron,1n0 ) ในนิวเคลียสมีสัญลักษณ์เป็น AXZ โดย
X เป็นสัญลักษณ์ของนิวเคลียสใดๆ
A เป็นเลขมวลของธาตุ (mass number) หมายถึง จำนวนนิวคลีออน หรือเป็นเลขจำนวน
เต็มที่มีค่าใกล้เคียงกับมวลอะตอม ในหน่วย U ของธาตุนั้น
Z เป็นเลขอะตอม หมายถึง จำนวนโปรตอนภายใน Nucleus
การเกิดกัมมันตภาพรังสี
1. เกิดจากนิวเคลียสในสภาวะพื้นฐานได้รับพลังงาน ทำให้นิวเคลียสกระโดดไปสู่ระดับพลังงานสูงขึ้น ก่อนกลับสู่สภาวะพื้นฐาน นิวเคลียสจะคายพลังงานออกมาในรูปรังสีแกมมา
2. เกิดจากนิวเคลียสที่อยู่ในสภาพเสถียร แต่มีอนุภาคไม่สมดุล นิวเคลียสจะปรับตัวแล้วคายอนุภาคที่ไม่สมดุลออกมาเป็นอนุภาคแอลฟาหรือเบตา
คุณสมบัติของกัมมันตภาพรังสี
1. เดินทางเป็นเส้นตรง
2. บางชนิดเกิดการเลี้ยวเบนเมื่อผ่านสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า เช่น a, b
3. มีอำนาจในการทะลุสารต่างๆ ได้ดี
4. เมื่อผ่านสารต่างๆจะสูญเสียพลังงานไปโดยการทำให้สารนั้นแตกตัวเป็นอิออน ซึ่งอิออนเหล่านั้นจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์อื่นๆ เช่น ปฏิกิริยาเคมี เกิดรอยดำบนฟิล์มถ่ายรูป
4. การค้นพบนิวตรอน โดย เชดวิด(Sir James Chadwick) ได้ทดลองโดยใช้รังสีแอลฟา (a) เช้าชนธาตุเบริลเลียม ปรากกฎว่าได้รังสีที่คล้ายรังสีแกมมา เป็นกลางทางไฟฟ้า นั่นคือ นิวตรอน
5. การเปลี่ยนสภาพนิวเคลียส
1. การแผ่กัมมันตภาพรังสี เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงนิวเคลียส เมื่อนิวเคลียสปลดปล่อยรังสีออกมานิวเคลียสเองจะเปลี่ยนสภาพเป็นนิวเคลียสของธาตุใหม่
2. การแผ่รังสีแอลฟา a นิวเคลียสของธาตุเดิมจะเปลี่ยนไปโดยที่มวล และนิวเคลียสเดิมลดลงเท่ากับมวลของอนุภาคแอลฟา
3. การแผ่รังสีเบตา b ประจุไฟฟ้าของนิวเคลียสใหม่จะเพิ่มหรือลดลง 1 e หน่วย
4. รังสีแกมมา g เกิดจากการเปลี่ยนระดับพลังงานของนิวเคลียส จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลขมวลและเลขอะตอมของนิวเคลียสที่แผ่รังสีแกมมาออกมา
กัมมันตภาพรังสี (Ionizing Radiation)
กัมมันตภาพรังสี หมายถึง พลังงานที่ปล่อยจากนิวเคลียสหรืออะตอมของธาตุบางชนิด หรือรังสีที่แผ่ออกจากสารกัมมันตภาพรังสี แล้วสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
ชนิดและอันตรายจากกัมมันตภาพรังสี
ก. รังสีแอลฟา (Alpha Ray) เกิดจากการสลายตัวของนิวเคลียสที่มีขนาดใหญ่และมีมวลมากเพื่อเปลี่ยนแปลงให้เป็นนิวเคลียสที่มีเสถียรภาพสูงขึ้น ซึ่งรังสีนี้ถูกปล่อยออกมาจากนิวเคลียสด้วยพลังงานต่าง ๆ กัน รังสีแอลฟาก็คือนิวเคลียสของฮีเลียม แทนด้วย มีประจุบวกมีขนาดเป็น 2 เท่าของประจุอิเล็กตรอน คือเท่ากับ +2e และมีนิวตรอน อีก 2 นิวตรอน (2n) มีมวลเท่ากับนิวเคลียสของฮีเลียมหรือประมาณ 7000 เท่าของอิเล็กตรอน เนื่องจากมีมวลมากจึงไม่ค่อยเกิดการเบี่ยงเบนง่ายนัก เมื่อวิ่งไปชนสิ่งกีดขวางต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง แผ่นกระดาษ จะไม่สามารถผ่านทะลุไปได้ แต่จะถูกดูดซึมได้อย่างรวดเร็วแล้วจะถ่ายทอดพลังงานเกือบทั้งหมดออกไป ทำให้อิเล็กตรอนของอะตอมที่ถูกรังสีแอลฟาชนหลุดออกไป ทำให้เกิดกระบวนการที่เรียกว่า การแตกตัวเป็นไอออน
กัมมันตภาพรังสี (Ionizing Radiation)
- กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) หมายถึง รังสีที่แผ่ออกมาได้เองจากธาตุบางชนิด
- ธาตุกัมมันตรังสี หมายถึง ธาตุที่มีในธรรมชาติที่แผ่รังสีออกมาได้เอง
- เฮนรี่ เบคเคอเรล นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส เป็นผู้ค้นพบกัมมันตภาพรังสีโดยบังเอิญ ในขณะที่ทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับรังสีเอกซ์ กัมมันตภาพรังสีมีสมบัติแตกต่างจากรังสีเอกซ์ คือ มีความเข้มน้อยกว่ารังสีเอกซ์ การแผ่รังสีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
- รังสี เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ บางชนิดเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น รังสีเอกซ์ รังสีอุลตราไวโอเลต รังสีอินฟราเรด บางอย่างเป็นอนุภาค เช่นรังสีที่เกิดจากอนุภาคอิเลคตรอน รังสีที่ได้จากธาตุกัมมันตรังสีมี 3 ชนิด คือ รังสีแอลฟา รังสีเบตา และรังสีแกมมา
กัมมันตภาพรังสีมี 3 ชนิด คือ
1) รังสีแอลฟา (alpha, a) คือ นิวเคลียสของอะตอมธาตุฮีเลียม 4He2 มีประจุไฟฟ้า +2 มีมวลมาก ความเร็วต่ำ อำนาจทะลุทะลวงน้อย มีพลังงานสูงมากทำให้เกิดการแตกตัวเป็นอิออนได้ดีที่สุด
2) รังสีเบต้า (Beta, b) มี 2 ชนิด คือ อิเลคตรอน 0e-1 (ประจุลบ) และ โฟซิตรอน 0e+1 (ประจุบวก) มีความเร็วสูงมากใกล้เคียงกับความเร็วแสง
3) รังสีแกมมา (gamma, g) คือ รังสีที่ไม่มีประจุไฟฟ้า หมายถึง โฟตอนหรือควอนตัมของแสง มีอำนาจในการทะลุทะลวงได้สูงมาก ไม่เบี่ยงเบนในสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูงกว่ารังสีเอกซ์
การวิเคราะห์ชนิดของประจุของสารกัมมันตภาพรังสีโดยใช้สนามแม่เหล็ก
เลขมวล เลขอะตอมและสัญลักษณ์ของ Nucleus
นิวคลีออน คือ อนุภาคที่รวมตัวกันอยู่ภายใต้ นิวเคลียส ซึ่งหมายถึง โปรตอน (proton, 1H1) และนิวตรอน (Neutron,1n0 ) ในนิวเคลียสมีสัญลักษณ์เป็น AXZ โดย
X เป็นสัญลักษณ์ของนิวเคลียสใดๆ
A เป็นเลขมวลของธาตุ (mass number) หมายถึง จำนวนนิวคลีออน หรือเป็นเลขจำนวน
เต็มที่มีค่าใกล้เคียงกับมวลอะตอม ในหน่วย U ของธาตุนั้น
Z เป็นเลขอะตอม หมายถึง จำนวนโปรตอนภายใน Nucleus
การเกิดกัมมันตภาพรังสี
1. เกิดจากนิวเคลียสในสภาวะพื้นฐานได้รับพลังงาน ทำให้นิวเคลียสกระโดดไปสู่ระดับพลังงานสูงขึ้น ก่อนกลับสู่สภาวะพื้นฐาน นิวเคลียสจะคายพลังงานออกมาในรูปรังสีแกมมา
2. เกิดจากนิวเคลียสที่อยู่ในสภาพเสถียร แต่มีอนุภาคไม่สมดุล นิวเคลียสจะปรับตัวแล้วคายอนุภาคที่ไม่สมดุลออกมาเป็นอนุภาคแอลฟาหรือเบตา
คุณสมบัติของกัมมันตภาพรังสี
1. เดินทางเป็นเส้นตรง
2. บางชนิดเกิดการเลี้ยวเบนเมื่อผ่านสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า เช่น a, b
3. มีอำนาจในการทะลุสารต่างๆ ได้ดี
4. เมื่อผ่านสารต่างๆจะสูญเสียพลังงานไปโดยการทำให้สารนั้นแตกตัวเป็นอิออน ซึ่งอิออนเหล่านั้นจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์อื่นๆ เช่น ปฏิกิริยาเคมี เกิดรอยดำบนฟิล์มถ่ายรูป
4. การค้นพบนิวตรอน โดย เชดวิด(Sir James Chadwick) ได้ทดลองโดยใช้รังสีแอลฟา (a) เช้าชนธาตุเบริลเลียม ปรากกฎว่าได้รังสีที่คล้ายรังสีแกมมา เป็นกลางทางไฟฟ้า นั่นคือ นิวตรอน
5. การเปลี่ยนสภาพนิวเคลียส
1. การแผ่กัมมันตภาพรังสี เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงนิวเคลียส เมื่อนิวเคลียสปลดปล่อยรังสีออกมานิวเคลียสเองจะเปลี่ยนสภาพเป็นนิวเคลียสของธาตุใหม่
2. การแผ่รังสีแอลฟา a นิวเคลียสของธาตุเดิมจะเปลี่ยนไปโดยที่มวล และนิวเคลียสเดิมลดลงเท่ากับมวลของอนุภาคแอลฟา
3. การแผ่รังสีเบตา b ประจุไฟฟ้าของนิวเคลียสใหม่จะเพิ่มหรือลดลง 1 e หน่วย
4. รังสีแกมมา g เกิดจากการเปลี่ยนระดับพลังงานของนิวเคลียส จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลขมวลและเลขอะตอมของนิวเคลียสที่แผ่รังสีแกมมาออกมา
กัมมันตภาพรังสี (Ionizing Radiation)
กัมมันตภาพรังสี หมายถึง พลังงานที่ปล่อยจากนิวเคลียสหรืออะตอมของธาตุบางชนิด หรือรังสีที่แผ่ออกจากสารกัมมันตภาพรังสี แล้วสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
ชนิดและอันตรายจากกัมมันตภาพรังสี
- รังสีแกมมา มีอำนาจการทะลุทะลวงมากและสามารถทำลายเนื้อเยื่อของร่างกายได้
- รังสีแอลฟาและรังสีเบต้า เป็นรังสีที่มีอนุภาคสามารถทำลายเนื้อเยื่อได้ดี ถึงแม้จะมีอำนาจการทะลุทะลวงเท่ากับรังสีแกมมา แต่ถ้าหากรังสีชนิดนี้ไปฝังบริเวณเนื้อเยื่อของร่างกายแล้ว ก็มีอำนาจการทำลายไม่แพ้รังสีแกมมา
- รังสีเอ็กซ์ สามารถปล่อยประจุไฟฟ้าแรงสูงในที่สุญญากาศ อันตรายอาจจะเกิดขึ้น ถ้าหากรังสีเอ็กซ์รั่วไหลออกจากเครื่องมือและออกสู่บรรยากาศ สัมผัสกับรังสีเอ็กซ์มากเกินไป เช่น จากหลอดเอ็กซ์เรย์ก็จะเกิดโรคผิวหนังที่มือ มีลักษณะหยาบ ผิวหนังแห้งมีลักษณะคล้ายหูด แห้งและเล็บหักง่าย ถ้าสัมผัสไปนาน ๆ เข้า กระดูกก็จะถูกทำลาย
- รังสีที่สามารถมองเห็นและรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสีเหนือม่วง รังสีชนิดนี้จะไม่ทะลุ ทะลวงผ่านชั้นใต้ผิวหนัง รังสีอัลตราไวโอเลตจะมีอันตรายรุนแรงกว่ารังสีอินฟราเรด และจะทำให้ผิวหนังไหม้เกรียม และทำอันตรายต่อเลนซ์ตา คนทั่ว ๆ ไปจะได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ ฉะนั้นคนที่ทำงานกลางแสงอาทิตย์แผดกล้าติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน โอกาสที่จะเป็นเนื้องอกตามบริเวณผิวหนังที่ถูกแสงแดดในที่สุดก็จะกลายเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งได้ รังสีอัลตราไวโอเลตจะมีอันตรายต่อผิวหนังมากขึ้น ถ้าหากผิวหนังของเราไปสัมผัสกับสารเคมีบางอย่าง เช่น ครีโซล ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีความไวต่อแสงอาทิตย์มาก
- กำหนดระดับของรังสีที่ปลอดภัยที่มนุษย์สามารถยอมรับได้
- การตรวจระดับรังสีที่ร่างกายได้รับสม่ำเสมอ
- ควบคุมแหล่งกำเนิดรังสี ควบคุมให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อชุมชนและคนงาน
- ควบคุมระยะเวลาในการสัมผัสให้เหลือน้อยที่สุด
- มีมาตรการในการเคลื่อนย้ายหรือเก็บขนให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด
- ควบคุมระยะห่างระหว่างรังสีกับผู้ปฏิบัติงานให้ห่างมากที่สุด ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องอยู่ใกล้
- มีฉากกำบังรังสีที่แข็งแรง และสามารถกั้นรังสีได้จริง
- มีการกำจัดกากรังสีอย่างถูกวิธี
ก. รังสีแอลฟา (Alpha Ray) เกิดจากการสลายตัวของนิวเคลียสที่มีขนาดใหญ่และมีมวลมากเพื่อเปลี่ยนแปลงให้เป็นนิวเคลียสที่มีเสถียรภาพสูงขึ้น ซึ่งรังสีนี้ถูกปล่อยออกมาจากนิวเคลียสด้วยพลังงานต่าง ๆ กัน รังสีแอลฟาก็คือนิวเคลียสของฮีเลียม แทนด้วย มีประจุบวกมีขนาดเป็น 2 เท่าของประจุอิเล็กตรอน คือเท่ากับ +2e และมีนิวตรอน อีก 2 นิวตรอน (2n) มีมวลเท่ากับนิวเคลียสของฮีเลียมหรือประมาณ 7000 เท่าของอิเล็กตรอน เนื่องจากมีมวลมากจึงไม่ค่อยเกิดการเบี่ยงเบนง่ายนัก เมื่อวิ่งไปชนสิ่งกีดขวางต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง แผ่นกระดาษ จะไม่สามารถผ่านทะลุไปได้ แต่จะถูกดูดซึมได้อย่างรวดเร็วแล้วจะถ่ายทอดพลังงานเกือบทั้งหมดออกไป ทำให้อิเล็กตรอนของอะตอมที่ถูกรังสีแอลฟาชนหลุดออกไป ทำให้เกิดกระบวนการที่เรียกว่า การแตกตัวเป็นไอออน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)